วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

แม่น้ำโดรู (Douro)สายธารเชื่อต่อระหว่างประเทศสเปนกับโปรตุเกส


แม่น้ำโดรู (Douro) หรือ แม่น้ำดวยโร (Duero) เป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของคาบสมุทรไอบีเรีย ไหลจากต้นน้ำใกล้กับเมืองดูรวยโลเดลาเซียร์ราในจังหวัดโซเรีย ผ่านภาคกลางตอนบนของประเทศสเปนและภาคเหนือของประเทศโปรตุเกสไปออกทะเลที่เมืองโปร์ตู ใช้เดินเรือได้เฉพาะตอนที่อยู่ในโปรตุเกสเท่านั้น ชื่อของแม่น้ำสายนี้อาจมาจากชาวเคลต์ซึ่งเคยอาศัยในดินแดนแถบนี้ก่อนสมัยโรมัน

ส่วนแม่น้ำดวยโร (ตอนที่อยู่ในสเปน) ไหลผ่านที่ราบสูงเมเซตาของภูมิภาคคาสตีลและคดเคี้ยวไปตามพื้นที่ของจังหวัดต่าง ๆ ในแคว้นคาสตีลและเลออน

หมู่เกาะมาเดรา


มาเดรา (Madeira) เป็นหมู่เกาะของประเทศโปรตุเกส ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเขตปกครองตนเองของประเทศโปรตุเกส มาเดรานั้นอยู่ในทวีปยุโรปทางการปกครอง แต่อยู่ในทวีปแอฟริกาในทางภูมิศาสตร์

ชาวโรมันรู้จักเกาะมาเดราในนามหมู่เกาะสีม่วง (Purple Islands) ถูกค้นพบโดยนักเดินเรือชาวโปรตุเกสในต้นปี ค.ศ. 1418 หรือ ปลายปี 1420 หมู่เกาะนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นการค้นพบแรกของยุคการสำรวจโดยเฮนรี นักเดินทางชาวโปรตุเกส

สิ่งเป็นเป็นที่ขึ้นชื่อคือ รีสอร์ต ไวน์ที่เป็นที่โด่งดัง สภาพภูมิอากาศ ทัศนียภาพที่สวยงาม ดอกไม้ งานเย็นปักถักร้อย การฉลองปีใหม่ด้วยโชว์พลุไฟ และล่าสุดกับงานพุไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกติดกินเนสบุ๊ค

กลุ่มเกาะอะโซร์สในโปรตุเกส


กลุ่มเกาะอะโซร์ส (Azores) กลุ่มเกาะตั้งอยู่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ อยู่ทางตะวันตกของกรุงลิสบอน และอยู่ทางตะวันออกของชายฝั่งอเมริกาเหนือ ประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ เกาะใหญ่ 9 เกาะ และเกาะเล็ก ๆ อีกหลายเกาะ

เกาะนี้เป็น 1 ใน 2 ของเขตการปกครองตนเองของโปรตุเกส มีอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญคือ การเกษตร กสิกรรม (ผลิตผลจากเนยและชีส) การประมง และการท่องเที่ยว เกาะที่ใหญ่ที่สุดชื่อ เกาะเซามีเกล เมืองสำคัญได้แก่ เมืองปอนตาเดลกาดา บนเกาะเซามีเกล เมืองออร์ตาบนเกาะไฟอัล และเมืองอังกราโดเอโรอิสโม บนเกาะเตอร์เซร์รา จุดสูงสุดชื่อ ปีกูอัลตู บนเกาะปีกู

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

เทศกาลโอสแทร์น เป็นอย่างไรกันนะ?


เทศกาลโอสแทร์น หรือเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งชาวเยอรมันจะเรียกว่าวัน เทศกาลโอสแทร์น ซึ่งที่นี่เขาจะหยุดเป็นเวลา 4 วันติดต่อกันโดยจะไล่ความสำคัญดังนี้ ในวันที่ 1 วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) หรือชาวเยอรมันเรียก(Karfreitag "คาร์ ไฟร์ ทาก")เป็นวันศุกร์

ก่อนวันอีสเตอร์เพื่อระลึกถึงการที่พระเยซูถูกตรึงบน กางเขนจนสิ้นพระชนม์ ผ่านวันที่ 2 วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Saturday) หรือชาวเยอรมันเรียก (Karsamstag "คาร์ สัมส ทาก") เข้าสู่วันที่ 3 วันอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ (Easter)หรือเยอรมันเรียก(Ostersonntag "โอส แทร์น ส็อน ทาก") เป็นวันอีสเตอร์เพื่อระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู

และ ในวันที่ 4 วันจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ (Easter Monday) ภาษาเยอรมัน(Ostermontag "โอสแทร์น โมน ทาก")เป็นวันเฉลิมฉลองของการคืนพระชนม์ชีพ

เทศกาลปัสกา ของชาวเยอรมัน ตอนที่2


เมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งคริสเตียนรุ่นหลังๆ ที่มีเชื้อสายยิว ได้นำเอาประเพณีฮิบรู (ยิว) รวมถึงเทศกาลอีสเตอร์ในฐานะของ เทศกาลปัสกายุคใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึง พระเมสไซอาห์(พระเยซู) ซึ่งได้มีผู้เผยพระวจนะได้ทำนายไว้ล่วงหน้า ทรงไถ่บาปของมนุษยชาติ โดยการยอมรับทรมาน สิ้นพระชนม์ และเสด็จกลับคืนชีพ

โดยมีเครื่องหมายผ่าน จากความตาย และกลับคืนชีพเป็นสัญลักษณ์ การ "ข้ามพ้น" จากความทุกข์ มาสู่ความยินดี จากบาปและ ความตายมาสู่ชีวิตใหม่ เทศกาลปัสกายุคใหม่ของชาวคริสต์นั้น จึงไม่ได้เป็นการฉลองการกินขนมปังไร้เชื้อ เหมือนชาวยิวแต่เก่าก่อนแล้ว

ศาสนายิว ฉลองแค่เรื่องเทศกาลปัสกา "การผ่านข้าม" เพราะตามความเชื่อของศาสนายิว พระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้าอย่างที่ศาสนาคริสต์เชื่อ เทศกาลฉลองของชาวยิว จึงไม่ได้เรียกว่าอีสเตอร์ แต่เทศกาลปัสกา (Passover) ในคริสเตียนที่มีเชื้อสายยิว รุ่นหลังๆ ก็ใช้เรียกเป็นวันอีสเตอร์ในแถบยุโรปด้วย

เทศกาลปัสกา ของชาวเยอรมัน ตอนที่1


เทศกาลปัสกา (Passover) ภาษาเยอรมัน เรียกว่า Pessach, ภาษาฮีบรู (ภาษาของชาวยิว) เรียกว่า Paschal หรืออีกชื่อหนึ่งซึ่งชาวยุโรปชอบเรียกกันคือเทศกาล Pasch หรือต้นตอจริงๆ ของคำว่า "ปัสกา" (Pasqual) เป็นคำมาจากภาษาฮิบรู แปลว่า "การข้าม หรือการก้าวกระโดดผ่านไป" เป็นวันที่ชาวยิวฉลองการกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน

โดยเริ่มจากเย็นในวันที่ 14 ของ เดือนนิชาน (Nisan) คือเดือนแรกของปี ของชาวยิว เดิมมี ชื่อว่า อาบีบ (Abib) ก็ราวๆ เดือนมีนาคม หรือเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการฉลองต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน ทั้งนี้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ การเดินทางมายัง ดินแดนแห่งพันธะสัญญา(คานาอัน) พระเป็นเจ้า(โมเสส) ทรงช่วยเหลือบรรพบุรุษของพวกเขาข้ามทะเลแดง ให้ออกมาจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ และการเป็นอิสระของชนชาติอิสราเอล

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

สาธารณรัฐลิทัวเนีย (Republic of Lithuania)


ลิทัวเนีย (Lithuania) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐลิทัวเนีย (Republic of Lithuania) ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ทางฝั่งตะวันออกของทะเลบอลติก ทิศเหนือจรดลัตเวีย ทิศตะวันออกและทิศใตัจรดเบลารุส และทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดโปแลนด์และรัสเซีย (แคว้นคาลินินกราด) เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย

ชาวเบโลรัสเซียร้อยละ 1.5 ใช้ภาษาลิทัวเนียเป็นภาษาทางการ ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรใช้ภาษารัสเซีย ประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมากที่สุด แต่สำหรับชาวรัสเซียในลิทัวเนียนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์

ลิทัวเนียมีพื้นที่ 65,300 ตารางกิโลเมตร ใหญ่ที่สุดในจำนวน 3 ประเทศแถบบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าสนและเนินทราย ลิทัวเนียเป็นแหล่งอำพัน (Amber) ที่สำคัญ

มหาวิหารเซนต์บาซิล ตอนที่ 2


มหาวิหารนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงทำให้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า พระเจ้าอีวานที่ 4 ทรงพอพระทัยในความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้มาก

พระเจ้าอีวานที่ 4 จึงมีคำสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่สถาปนิกผู้ออกแบบด้วยการควักดวงตาทั้งสอง เพื่อไม่ให้สถาปนิกผู้นั้นสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก การกระทำในครั้งนั้นของพระเจ้าอีวานที่ 4 จึงเป็นที่มาของสมญานามอีวานผู้โหดร้าย (Ivan The Terrible)

บริเวณใกล้กันกับมหาวิหารเซนต์เบซิลขนาบข้างด้วยกำแพงเครมลิน เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานเลนินหรือสุสานเลนิน ซึ่งเก็บรักษาร่างของวลาดีมีร์ เลนิน ผู้นำคนสำคัญของคอมมิวนิสต์ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปเคารพศพได้

มหาวิหารเซนต์บาซิล ตอนที่ 1


มหาวิหารเซนต์บาซิล (Saint Basil's Cathedral) เป็นวัดคริสต์ศาสนาของนิกายรัสเซียออร์โธด็อกซ์ที่มีฐานะเป็นมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่จัตุรัสแดง กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย สร้างโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่กรีธาทัพมาเมืองคาซาน

มหาวิหารเซนต์บาซิลมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์อื่น คือมีโดม 8 โดมล้อมรอบโดมที่ 9 ที่อยู่ตรงกลาง ทำให้อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียโบราณ

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

สถาปัตยกรรมก่อนสมัยโรมาเนสก์


มหาวิหารแรกสุดก่อตั้งเมื่อค. ศ. 642 ตรงด้านเหนือของมหาวิหารปัจจุบัน มหาวิหารเดิมรู้จักกันในนามว่า “Old Minster” (สำนักสงฆ์เก่า) วัดมาเป็นสำนักสงฆ์เมื่อปีค.ศ. 971 นักบุญสวิทเธิร์น (Saint Swithun) ถูกฝังไว้ใกล้มหาวิหารเดิมก่อนที่จะถูกย้ายมาฝังที่มหาวิหารใหม่ที่สร้างแบบโรมาเนสก์ หรือที่เรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน” ที่อังกฤษ “Mortuary chests” (หีบ หรือ กล่อง)

ซึ่งเชื่อกันว่าข้างในบรรจุกระดูกของพระเจ้าแผ่นดินแซ็กซอนเช่นพระเจ้าเอ็ด วี (Edwy of England) และพระมเหสีพระราชินีเอลจิวา (Elgiva) ซึ่งเดิมฝังอยู่ที่มหาวิหารเก่าแต่ต่อมาก็ย้ายไปฝังที่มหาวิหารปัจจุบัน มหาวิหารเดิมถูกรื้อทิ้งเมื่อปีค.ศ. 1093

เพลงก็อดเซฟเดอะคิง หรือ ก็อดเซฟเดอะควีน


เพลงก็อดเซฟเดอะคิง หรือ ก็อดเซฟเดอะควีน เป็นเพลงปลุกใจ เพลงชาติ และ เพลงสรรเสริญพระบารมีของสหราชอาณาจักร เพลงนี้ใช้เป็นหนึ่งในสองเพลงชาติของนิวซีแลนด์ เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีของประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในเครือจักรภพ ทั้งยังใช้เป็นเพลงคำนับสำหรับพระมหากษัตริย์ และ พระราชวงศ์อังกฤษด้วย หากประมุขแห่งรัฐทรงเป็นพระมหากษัตริย์ จะใช้เพลงว่า "ก็อดเซฟเดอะคิง" แต่ถ้าพระราชินีทรงเป็นประมุขก็จะใช้ชื่อเพลงว่า "ก็อดเซฟเดอะควีน"

ในภาษาไทยไม่นิยมแปลชื่อเพลงนี้ออกมาโดยตรง แต่มักเรียกทับศัพท์ว่า "ก็อดเซฟเดอะคิง" หรือ "ก็อดเซฟเดอะควีน" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ" ตามลักษณะของเพลง

ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์

http://www.travellynx.co.uk/wp-content/uploads/2013/03/t53.jpg

ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ (London Heathrow Airport) เป็นท่าอากาศยานที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองฮิลลิงดอน ห่างจากตัวเมืองของกรุงลอนดอนประมาณ 24 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในสามของท่าอากาศยานที่อยู่ในเขตของกรุงลอนดอนและปริมณฑล อีกสองแห่งก็คือ ท่าอากาศยานลอนดอนซิตตี้ และท่าอากาศยานลอนดอนบิ๊กกิงฮิล

ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์มีทางวิ่งขนานกัน 2 ทางวิ่ง ตามแนวทิศตัวออกและทิศตะวันตก และ มีอาคารผู้โดยสาร 4 อาคาร โดยอาคารที่ 5 กำลังก่อสร้าง และยังมีแผนปรับปรุงอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออกใหม่ รวมทั้งเพิ่มทางวิ่งอีกหนึ่งเส้นทางด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

เมืองโรโตรัว Rotorua


เมืองโรโตรัว โดยชื่อของเมืองมาจากภาษาชนเผ่าพื้นเมือง "เมารี" (Maori) มาจากชื่อเต็มๆว่า "Ta Rotorau-nui-a-Kahumatamomoe" ซึ่งคำว่า Roto หมายถึง ทะเลสาบ ส่วนคำว่า Rua แปลว่า สอง รวมแล้ว "Rotorua" แปลว่า ทะเลสาบแห่งที่สอง ที่ชนเผ่าเมารีค้นพบ และตั้งชื่ออุทิศให้แก่ลุงของเขาที่ชื่อ Kahumatamomoe

เมืองโรโตรัว เป็นเมืองของนิวซีแลนด์ที่เรียกได้ว่า “เมืองแห่งสปาและการท่องเที่ยว” เนื่องจาก เมืองนี้อุดมไปด้วยแหล่งกำเนิดของน้ำพุร้อน ป่า ทุ่งหญ้าและทะเลสาบ อุดมสมบูรณ์ด้วยปลาเทราต์ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองโบราณที่สั่งสมวัฒนธรรมของชาวเมารี ทำให้เมือง นี้เต็มไป ด้วยความสนุกสนาน สำหรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชม

ทะเลสาบ วาคาตีปู Lake Wakatipu

 

ทะเลสาบวาคาตีปู เป็นทะเลสาบที่เกิดจากธารน้ำแข็ง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองจากตาอูโป และ เต อานาอู ความที่มีระดับน้ำขึ้นลงต่างกันได้ถึง ๑๒ เซนติเมตรทุกๆ ๕ นาที และรูปร่างเหมือนงูเลื้อย จึงมีตำนานเมารีกล่าวถึงอสูรกายที่นอนอยู่ใต้ร่องลึกของทะเลสาบ และน้ำที่ขึ้นลงเป็นจังหวะถี่แบบนี้ก็เพราะการเต้นของหัวใจมัน ชื่อในภาษาเมารีมาจากคำว่า วาคาตีปูอา (Wakatipua) waka=เรือ tipua=อสูรกาย หรืออีกที่มาหนึ่งคือ ฟาคาตีปู (Whakatipu) หมายถึง การเติบโต เพราะ มีชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งถูกศัตรูโจมตีพ่ายแพ้ มาพักฟื้นและตั้งต้นชีวิตใหม่ที่นี้

ถ้ำไวโทโม Waitomo Caves


ถ้ำไวโทโม คือ ถ้ำหนึ่งเดียวในโลก ที่คุณจะสามารถเห็นดาวได้ทั้งที่อยุ่ใต้โลก มันเป็น 1 ใน ถ้ำยอดนิยม ของ นิวซีแลนด์ ( New Zealand ) ถ้ำนี้ไม่ได้ งดงามเพีองเฉพาะตัวถ้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อาศัยในถ้ำนี้ด้วยอีกต่างหาก นั้นคือ หนอนเรืองแสง

ไวโทโม (Waitomo) มาจากภาษาพื้นเมืองสองคำ คือ "Wai" แปลว่า "น้ำ" และ "tomo" แปลว่า "หลุม บ่อ หรือ ถ้ำ" เมื่อรวมกันหมายความว่า "น้ำไหลผ่านถ้ำ" ซึ่งคาดว่า ถ้ำ Waitomo นั้นมีอายุมากกว่า 2 ล้านปี

ภายใน ถ้ำ ไวโทโม (Waitomo) นั้นมีผู้อยู่อาศัยที่แปลกประหลาดคือ หนอนเรืองแสง ซึ่งเป็นช่วงตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่งคล้ายยุง มีสารเรืองแสงในตัวไว้สำหรับในการล่อเหยื่อ โดย หนอนเรืองแสง จะสร้างเส้นใยจำนวนมาเพื่อดักจับเหยื่อกินเป็นอาหาร เมื่อมองดูแล้วจะเหมือนกันได้ดูดาวบนท้องฟ้าเลยทีเดียว

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

รัฐควีนส์แลนด์


รัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) เป็นรัฐในประเทศออสเตรเลียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแผ่นดินทวีป ติดกับนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ทางตะวันตก ติดกับรัฐเซาท์ออสเตรเลียทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทางทิศใต้

ทางตะวันตกของรัฐควีนส์แลนด์ เป็นทะเลปะการังและมหาสมุทรแปซิฟิก รัฐควีนส์แลนด์มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียและเป็นรัฐที่มีประชากรมาที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรีย

พื้นที่แต่เดิมมีคนพื้นเมืองออสเตรเลียและชาวเกาะทอร์เรสสเตรทอาศัยอยู่ ที่มาอยู่ราว 40,000 ถึง 65,000 ปีก่อน ต่อมาเป็นอาณานิคมของอังกฤษและแยกจากนิวเซาท์เวลส์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1859 ถือว่าเป็นวันเฉลิมฉลองประจำปีของรัฐ เรียกว่าวันควีนส์แลนด์

เพิร์ทเมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย



เพิร์ท (Perth) เป็นเมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ในประเทศออสเตรเลีย มีประชากรอาศัยอยู่ 1,507,900 (ธันวาคม 2006) ทำให้เพิร์ทเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และเป็น 3 ใน 4 ของรัฐ ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่อันดับที่ 4 ในออสเตรเลีย ด้วยอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 2.1 (2006) และคาดว่าจะเจริญได้ถึงร้อยละ 2.5 ในปี 2007

เพิร์ทถูกค้นพบโดยกัปตัน เจมส์ สเตอร์ลิง เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1829 เพิร์ทอยู่ชายฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ติดกับมหาสมุทรอินเดีย ตั้งอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำสวอน (Swan River) เป็นเมืองทันสมัย ในเมืองมีตึกสูงใหญ่

เกาะคริสต์มาสกับปูแดง


เกาะคริสต์มาส เป็นเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นดินแดนที่ไม่ได้ปกครองตนเองของประเทศออสเตรเลีย อยู่ห่างจากเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เกาะคริสต์มาส นี้มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากนัก ถูกจัดให้อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ โดยอาศัยอยู่ในฟลายอิงฟิชโคฟ (หรือรู้จักกันในนาม เดอะเซตเทิลเมนต์) ซึ่งบนเกาะแก่งนี้จะเต็มไปด้วยปูแดง ซึ่งก็คือ

เมื่อเริ่มเข้าฤดูฝนในออสเตรเลีย ปูแดงวัยเจริญพันธุ์จำนวนกว่า 50 ล้านตัวจะทะยอยเคลื่อนย้ายออกจากป่า มุ่งสู่ชายฝั่งทะเลเพื่อทำการขยายพันธุ์ ซึ่งปูแดงเหล่านี้จะมีเฉพาะบนเกาะคริสต์มาส เท่านั้น และในช่วงที่การเคลื่อนย้ายของปูแดงที่มีออกมาเป็นจำนวนมาก ถนนบนเกาะแห่งนี้บางสายที่ปูเหล่านี้เดินผ่านต้องถึงกับปิดการจราจรไปเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

หมู่บ้านเก่าแก่ เอสตางค์ของฝรั่งเศส ตอนที่ 3


อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดที่จะมาเที่ยวที่เอสตางค์นั้นก็คือการไปเยี่ยมชม คริสตจักรเก่าแก่ ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยตัวอาคารนั้นค่อนข้างโดดเด่นด้วยหลังคาที่มียอดสูงและหอระฆังอันเป็น หนึ่งในสัญลักษณ์ และจุด ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอสตางค์(ฝรั่งเศส)

นับได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ สวยงามในแบบฉบับของฝรั่งเศสอย่างแท้จริง ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสอย่างแท้จริงนั้นทำให้หมู่บ้านเก่าแก่ เอสตางค์นี้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเดินทางมาท่อง เที่ยวที่ดินแดนฝรั่งเศสแห่งนี้

หมู่บ้านเก่าแก่ เอสตางค์ของฝรั่งเศส ตอนที่ 2


หมู่บ้านเอสตางค์นั้น ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งตั้งลดหลั่นไปตามซอกเขาในภาคเหนือของจังหวัดอาแวรง ของประเทศฝรั่งเศส

ซึ่งหากย้อนเวลากลับไปสู่อดีตที่เคยรุ่งเรืองของเอสตางค์ นักท่องเที่ยวจะพบว่าหมู่บ้านเล็กๆของฝรั่งเศสแห่งนี้ เคยเป็นหนึ่งในเส้นทางแสวงบุญสำคัญแห่งหนึ่งของเส้นทางซานเตียโก เด กอมโปส เตลา อีกทั้งยังเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงมีเสน่ห์และได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี

สำหรับการท่องเที่ยวในเอสตางค์ของฝรั่งเศสนั้น นักท่องเที่ยวที่ มาเยือนจะต้องไม่พลาดไปชม สะพานหินโกธิค สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ เป็นหนึ่งในเส้นทางทั้งสี่ที่เหล่านักแสวงบุญใช้ในอดีต โดยสะพานเก่าแก่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางซานเตียโก เด กอมโปสเตลา ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก ในปี 1998

หมู่บ้านเก่าแก่ เอสตางค์ของฝรั่งเศส ตอนที่ 1


ดินแดนอันสวยงามในประเทศฝรั่งเศส ที่นักท่องเที่ยวต่างรู้กันดีว่าที่รวมแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามเอาไว้มากมายหลายหลาก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ ได้เก็บซ่อนความสวยงามทางธรรมชาติและความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรมเอาไว้มาก มาย

และหนึ่งในหมู่บ้านท่องเที่ยวที่สวยงามนั้นก็คือ เอสตางค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนฝรั่งเศส

เอสตางค์ หนึ่งในหมู่บ้านที่ได้รับสมยานามว่าเป็น “หมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศส” เป็นหมู่บ้านยอดนิยมที่ถูกบันทึกไว้ในภาพโปสการ์ดมากที่สุดหมู่บ้านหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อาณาจักรโชซอน


อาณาจักรโชซอนโบราณ (Kochoson) ประวัติศาสตร์เกาหลี นั้นมีการบันทึกค่อนข้างมากมายหลายแขนง จนเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้เหล่านักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ว่าจะยึดถือ เอาประวัติศาสตร์ใดจึงจะเหมาะสม แต่โดยทั่วไปแล้วมักยึดถือเอาจุดเริ่มต้นของอารยะธรรมที่สืบทอดต่อจากยุคดึกดำบรรพ์นั้นเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงในยุคสมัยโกโชซอนหรือโชซอนโบราณ และล้วนกล่าวตรงกันหมดว่า

เริ่มต้นขึ้นที่ปี 1790 ปีก่อนพุทธศักราช โกโชซอนเป็นอาณาจักรแห่งแรก ตั้งอยู่ตรงบริเวณตอนใต้ของ แมนจูเรีย และตอนเหนือของ คาบสมุทรเกาหลี อาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยกษัตริย์ ทันกุน เรื่องราวประวัติศาสตร์นี้บันทึกครั้งแรกในหนังสือ ซัมกุก ยูซา ที่บันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยซัมกุก หรือ สามอาณาจักรแห่งเกาหลี ซึ่งบันทึกขึ้นในช่วง

พุทธศตวรรษที่ 18 ในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนี้กล่าวถึงการสร้างชาติของ เกาหลี ย้อนขึ้นไปถึงช่วงก่อนหน้าที่จะมาเป็นยุคสามอาณาจักรว่าแผ่นดิน เกาหลี ถูกสร้างขึ้นโดย ทันกุน นักประวัติศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า ทันกุน มิใช่พระนามแต่เป็นยศศักดิ์อันหมายถึง กษัตริย์ ส่วน วังกอม ต่างหากเป็นพระนามที่แท้จริง

ภาษาเกาหลีที่วัยรุ่นฮิตกัน


ภาษาเกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ในจังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี)

ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลีประมาณ 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มวัยรุ่นไทยทีชอบอยากเรียนภาษาเกาหลีเพื่อมาอัพเดทกันเรื่องของนักร้อง หรือดารา ที่นิยมกันในปัจจุบัน

อักษรเกาหลี เรียกว่าอักษรฮันกึล ใช้แทนเสียงของแต่ละพยางค์ นอกจากนี้ใช้ยังตัวอักขระแบบจีนเรียกว่าอักษรฮันจา ในการเขียนด้วย ในขณะที่คำศัพท์ที่ใช้กันส่วนใหญ่เป็นคำภาษาเกาหลีแท้ โดยที่มีคำศัพท์มากกว่า 50% มาจากภาษาจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม

คาบสมุทรเกาหลี


คาบสมุทรเกาหลี (Korean Peninsula) เป็นคาบสมุทรทางตะวันออกของทวีปเอเชีย ทอดตัวลงไปทางทิศใต้สู่มหาสมุทรแปซิฟิก มีความยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร พื้นที่รวมกันได้ 220,847 ตร. กม.

ทางตะวันออกล้อมรอบด้วยทะเลญี่ปุ่น (ทะเลตะวันออก) ทะเลจีนตะวันออก ด้านตะวันตกเป็นทะเลเหลือง โดยมีช่องแคบเกาหลีเชื่อมต่อชายฝั่งทะเลสองด้าน พื้นที่ 70% ของคาบสมุทรเป็นเทือกเขา

คาบสมุทรเกาหลี ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทางด้านใต้คือประเทศระบอบประชาธิปไตย คือสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศระบอบคอมมิวนิสต์ คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี โดยถูกคั่นกลางด้วยเขตปลอดทหาร

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

บราม สโตกเกอร์ ผู้เขียนเรื่องแดกคูลา ตอนที่ 3


ในที่สุดเมื่อบราม สโตกเกอร์ ชาว ไอร์แลนด์ มีอายุ 31 ปี เพื่อนนักแสดงละครเวทีของเช็คสเปียร์ชาวอังกฤษชื่อ เฮนรี่ ไอร์วิ่ง (Henry Irving) ช่วยให้เขาได้งานบริหารพิพิธภัณฑ์ไลเซียม เธียเตอร์ในลอนดอน (Lyceum Theatre, London) สโตเกอร์แต่งงาน มีลูกชายหนึ่งคน แต่ต่อมาก็อยู่แยกกับภรรยา แต่ก็ยังไปปรากฏตัวร่วมกันเมื่อออกงานสังคม

งานเขียนทั้งหมดของ บราม สโตกเกอร์ แห่งไอร์แลนด์ มีทั้งหมด 32 เรื่อง ทั้งนวนิยาย, สารคดี, เรื่องสั้นและงานวิจารณ์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่จะประสบความสำเร็จเท่า แดรกคูลา ในปี ค.ศ. 1897

ซึ่งกล่าวกันว่า บราม สโตกเกอร์ แห่ง ไอร์แลนด์ ได้แนวคิดเกี่ยวกับแวมไพร์นี้มาจากฝันร้ายของเขาเอง จากนั้นเขาก็ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแวมไพร์นี้อย่างจริงจังในห้องสมุดสโตกเกอร์เสียชีวิตด้วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่ออายุได้ 64 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1912 ที่กรุงลอนดอน

บราม สโตกเกอร์ ผู้เขียนเรื่องแดกคูลา ตอนที่ 2


บราม สโตกเกอร์ ชาวไอร์แลนด์ ชื่นชอบในเรื่องประวัติศาสตร์ยุโรป, การเล่นแร่แปรธาตุ และที่ชอบมากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับ แวมไพร์ ผีร้ายตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานเขียนวรรณคดีชิ้นสำคัญต่อไป

เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่น บราม สโตกเกอร์ ชาว ไอร์แลนด์ กลับมีร่างกายแข็งแรงถึงขนาดเป็นนักกีฬาแชมเปี้ยนของโรงเรียนโดยเฉพาะฟุตบอล สโตกเกอร์เรียนจบจากทรินิตีคอลเลจในดับลิน (Trinity College, Dublin)

จากนั้นก็เข้ารับราชการตามรอยบิดา พร้อมกับเริ่มเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะ ไอริช อีโค (The Irish Echo) และได้รู้จักกับเหล่านักเขียน นักแสดงจากลอนดอน

บราม สโตกเกอร์ ผู้เขียนเรื่องแดกคูลา ตอนที่ 1

 
บราม สโตกเกอร์ มีชื่อจริงว่า อับราฮัม สโตกเกอร์ (Abraham Stoker) เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1847 ที่กรุงดับลินประเทศไอร์แลนด์

บราม สโตกเกอร์ เป็นบุตรชายคนที่ 3 จากบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดาของสโตกเกอร์เป็นข้าราชการ ส่วนมารดาซึ่งเป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีรุ่น แรก ๆ ของไอร์แลนด์

เมื่อวัยเด็ก บราม สโตกเกอร์เด็กชายที่อาศัยอยู่ใน ไอร์แลนด์ เป็นเด็กร่างกายอ่อนแอมาก จนไม่สามารถที่จะยืนตัวตรงได้จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ ทำให้เป็นคนช่างฝันและจินตนาการและชอบอ่านหนังสือ

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

รถไฟใต้ดินมหานครนิวยอร์ก


รถไฟใต้ดินนครนิวยอร์ก (New York City Subway) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1869 เป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่มีอายุมากกว่า 140 ปี เป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีความรวดเร็วของมหานครนิวยอร์ก แต่ให้สำนักงานควบคุมระบบขนส่งมวลชนมหานครนิวยอร์กเป็นผู้เช่าและผู้ให้ บริหาร มีเส้นทางให้บริการ 26 เส้นและมี 468 สถานี มีผู้ใช้บริการต่อวันประมาณ 6,432,700 คนในวันธรรมดา เมื่อปี พ.ศ. 2550 ความยาวรางทั้งหมด 842 ไมล์หรือ 1,355 กิโลเมตร ส่วนขนาดความกว้างของรางอยู่ที่ 1.435 เมตร สาเหตุที่เรียกว่าซับเวย์ (ทางรถไฟใต้ดิน) ก็เพราะมีเพียง 40% ของระบบรางทั้งหมดที่อยู่บนดิน